การใช้เสียงพูด
การออกเสียงพูด
เป็นพื้นฐานขั้นแรก ที่ผู้เรียนควรปฏิบัติให้เกิดความคุ้นเคย
เกี่ยวกับลักษณะของเสียงในภาษาที่เราได้ใช้พูดคุยกัน ก็คือ การใช้ภาษาไทย ภาษาไทย คือภาษาที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากการฝึกเขียน ตัว
กไก่ ไปจนถึง ตัว ฮ นกฮูก สระ และวรรณยุกต์ จนถึงการออกเสียงพูดอ่าน
ให้เกิดความคุ้นเคย แล้วจึงค่อยฝึกการเขียนด้วยการผสมพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์รวมเข้าด้วยกัน จึงได้เกิดเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์
ให้เราได้ใช้พูดสื่อสารแสดงความหมายความรู้สึกต่อกัน ลักษณะของการพูดภาษาไทยในบางคำ ก็ย่อมใช้ลิ้นบังคับ
จึงทำให้เกิดเสียงได้อย่างถูกต้องถูกความหมาย ให้ความรู้สึกถึงเจตนารมณ์ของภาษาที่เราได้ใช้ รวมถึงการเริ่มต้นที่จะขยับริมฝีปากให้ถูกต้อง
ในการออกเสียงพูดภาษาไทยในบางคำจะมีลักษณะของการพูดไม่เหมือนกัน ถ้าผู้เรียนออกเสียงพูดใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องถูกวิธี
ก็ย่อมเป็นผลดีต่อผู้เรียนเอง ที่ได้ผ่านเข้ามาสู่การเรียนรู้ในอีกระดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ผู้เรียนบางคนจะมีอุปสรรคในการออกเสียงพูดซึ่งไม่ถูกวิธีด้วยกัน
ก็ย่อมต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขในการออกเสียง เช่น
ผู้เรียนขยับริมฝีปากใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง ผู้เรียนออกเสียงพูดทุกคำโดยไม่ใช้ลิ้นบังคับเสียง
หรือเป็นการพูดแบบลิ้นคับปาก
ผู้เรียนออกเสียงพูดโดยให้ลมขึ้นออกมาทางจมูกมากเกินไป
จึงไม่เกิดความเป็นธรรมชาติของการออกเสียง โดยปกติแล้วการออกเสียงพูดส่วนใหญ่ ลมจะออกมาทางปากมากกว่าทางจมูก
ซึ่งฟังแล้วจะได้เสียงที่เป็นธรรมชาติมาก การเริ่มต้นของผู้เรียน ที่จะนำความรู้เข้ามาสู่ตนเองนั้น
ย่อมหมายความว่า ผู้เรียนจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตนเองโดยไม่รู้สึกตัว การเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามา
ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกับผู้เรียนเอง เพราะยังมีสิ่งสองสิ่งผสมรวมกันอยู่ เช่น
การออกเสียงที่ยังเป็นของเดิมของผู้เรียน กับการออกเสียงที่เป็นของใหม่ที่ผู้เรียนจะได้รับเข้ามา บางครั้งผู้เรียนก็ยังติดกับการออกเสียงที่เป็นของเดิมอยู่
เพราะผู้เรียนเองยังไม่ได้ลบการออกเสียงที่เป็นของเดิมของเก่าของตนเองออก และการลบของเดิมออกผู้เรียนเองต้องตั้งใจสมัครใจที่จะลบของเดิมออก
ทิ้งของเก่าออกให้หมดอย่าเสียดาย ดังนั้นการลบออกจะใช้เวลาในการลบได้อย่างรวดเร็วก็คงจะเป็นไปไม่ได้
แต่จะค่อยๆลบออกทีละนิดทีละน้อย จนกว่าของเก่าจะหมดไป
ก็จะเหมือนนำเอาเปลือกนอกของผู้เรียนออก กะเทาะออกเอาสิ่งที่เป็นของเดิมเป็นทิฐิออก
ก็จะเห็นความบริสุทธิ์ของผู้เรียน
และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นด้วยการรับเรียนรู้นำเอาสิ่งใหม่เข้ามาได้อย่างมากมายเช่นกัน
การออกเสียงตัวพยัญชนะ
การออกเสียงตัวพยัญชนะจะมีระดับเสียงอยู่ด้วยกัน 3 ระดับคือ
1 พยัญชนะที่มีระดับเสียงต่ำจะมีพยัญชนะอยู่ 24 ตัวคือ
ค ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ท ธ ณ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ
การออกเสียงตัวพยัญชนะที่มีระดับเสียงต่ำ ให้ผู้เรียนออกเสียงที่ลำคอ หรือเนื้อคำร้องที่เป็นเมโลดี้เสียงต่ำ ให้ขับร้องออกเสียงที่ลำคอ ถ้าตัวพยัญชนะเสียงต่ำอยู่ในเนื้อคำร้องที่เป็นเมโลดี้เสียงสูง ก็จะทำให้การออกเสียงนั้นยากขึ้น
2 พยัญชนะที่มีระดับเสียงกลางจะมีพยัญชนะอยู่ 9 ตัวคือ
ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
การออกเสียงตัวพยัญชนะที่มีระดับเสียงกลาง ให้ผู้เรียนปิดคอ แล้วออกเสียงที่แก้มกระพุ้งแก้ม หรือเนื้อคำร้องที่เป็นเมโลดี้เสียงกลาง ให้ออกเสียงขับร้องที่แก้ม
3 พยัญชนะที่มีระดับเสียงสูงจะมีพยัญชนะอยู่ 11 ตัวคือ
ข ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ห
การออกเสียงตัวพยัญชนะที่มีระดับเสียงสูง ให้ผู้เรียนขับร้องออกเสียงที่ริมฝีปาก
การออกเสียงพูด
การออกเสียงพูด
ลักษณะการออกเสียงพูดดังต่อไปนี้
ให้ผู้เรียนออกเสียงพูดโดยใช้การกำเนิดเสียงที่แก้ม
หรือกระพุ้งแก้มหรือการพูดใช้ระดับเสียงกลาง การพูดที่ใช้ระดับเสียงกลาง
จะให้สัญญาณเสียงที่ใสและมีความคมชัดมากกว่าการพูดที่ใช้ระดับเสียงต่ำที่ลำคอ
การฝึกลมหายใจ
การฝึกลมหายใจ เพื่อให้ผู้เรียนมีพลังของลมหายใจที่เข้มแข็งดีกว่าปกติจากเดิม วิธีฝึกลมหายใจ ให้ผู้เรียนยืนขึ้นแล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆให้เต็มปอด พอรู้สึกว่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วให้ผู้เรียนกลั้นลมหายใจไว้สักครู่หนึ่ง แล้วหายใจเข้าทางปากให้เร็วที่สุด จึงหายใจออกโดยการเป่าลมออกให้มีลักษณะคล้ายกับการผิวปาก หรือเป่าให้ลมพุ่งออกเป็นพวยยาว เมื่อเวลาเป่าลมออกหมดแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องการออกซิเจนมากขึ้น ให้ผู้เรียนหายใจเข้าทางปากให้เร็วที่สุดอีกหนึ่งถึงสองครั้ง เพื่อให้ได้อ๊อกซิเจนจำนวนมากๆ แล้วเป่าลมออกมาให้มีลักษณะคล้ายกับการผิวปาก หรือเป่าลมให้พุ่งออกเป็นพวยยาวเหมือนเดิม
การฝึกออกกำลังกาย
ให้ผู้เรียนฝึกออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกายส่วนที่สำคัญคือ ลำคอ หัวไหล่ หน้าอก และท้อง เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมในการออกเสียงขับร้องมากยิ่งขึ้น ผู้เรียนจะได้รับประโยชน์ของการออกกำลังกายคือ มีพลังในการใช้ลมออกเสียงขับร้องได้ดี กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในร่างกายแข็งแรงขึ้น การฝึกออกกำลังกาย เพียงใช้พื้นที่เล็กๆ ก็สามารถฝึกปฏิบัติได้ เช่นพื้นที่ภายในบ้านในห้องที่เป็นส่วนตัว หลังจากผู้เรียนฝึกออกกำลังกายแล้ว ให้ผู้เรียนฝึกลมหายใจควบคู่กันไปจึงจะสมบูรณ์ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ผู้เรียนควรฝึกให้ได้ความสม่ำเสมอทุกครั้ง
การรักษาเสียงร้อง
การดูแลรักษาเสียงร้องเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เรียนควรรู้จักประเภทของอาหาร และเครื่องดื่มที่ทำให้เสียงของผู้ขับร้องถดถอยลง เครื่องดื่มที่ทำให้เกิดน้ำลายเหนียว ได้แก่ เครื่องดื่มที่อัดลมทุกชนิด หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโซดา นม กาแฟผสมครีมหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนม ประเภทเครื่องดื่มที่มีรสฝาดทำให้คอแห้ง ได้แก่น้ำชา นมเปรี้ยว น้ำเต้าหู้ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง อาหารที่มีน้ำจิ้มรสจัด หากรับประทานแล้วจะทำให้เกิดคอแห้งมากๆ ได้แก่ลูกชิ้นย่าง ปลาหมึกย่าง ไส้กรอกย่างหรืออาหารประเภทยำทุกชนิดที่มีรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด อาหารขบเคี้ยวที่มีรสเค็มทำให้คอแห้ง ได้แก่ถั่วทอด มันฝรั่งทอดหรืออาหารที่อบเค็มทุกชนิด ผลไม่ที่ต้องจิ้มพริกเกลือ ได้แก่มะม่วง ชมพู่ ฝรั่ง ฯลฯ ผลไม่ที่ทำให้คอแห้ง ได้แก่ลำไย หรือลูกอมที่สกัดมาจากผลไม้ และหมากฝรั่ง ก่อนที่ผู้เรียนจะออกดเสียงขับร้องภายใน 30 นาทีข้างหน้าที่จะถึงนี้ให้ผู้เรียนดูแลรักษาเสียงร้องของตนเอง โดยการจิบน้ำอุ่นหรือจิบน้ำเปล่าก็สามารถทำให้เสียงของผู้ขับร้องมีความสดใสเป็นปกติ ให้งดอาหารและเครื่องดื่มที่กล่าวมาข้างต้นนี้
การใช้ลำดับกล่องเสียง
การเลือกใช้ลำดับกล่องเสียงในการออกเสียงขับร้องเพลงซึ่งมีลักษณะดังนี้
1 ท้อง จุดกำเนิดของลมที่เกิดขึ้นภายในท้อง คือการใช้ลมจากท้อง เพื่อส่งขึ้นมายังถังเก็บลมคือปอด
2 ปอด คือที่เก็บลมหรือถังเก็บลมขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถยืดหยุ่นตัวได้ บังคับการถ่ายเทลมให้มีความเร็ว-ช้าได้
3 ลำคอ การกำเนิดของเสียงที่เกิดขึ้นจากลำคอ คือการใช้เสียงจากลำคอออกเสียงขับร้องเพลง
4 แก้มกระพุ้งแก้ม หรือถังเก็บลมขนาดเล็ก ซึ่งสามารถยืดหยุ่นตัวได้ บังคับการถ่ายเทลมได้ออกเสียงได้ คือการใช้เสียงที่แก้ม หรือกระพุ้งแก้มออกเสียงขับร้องเพลง
5 ริมฝีปาก การกำเนิดของเสียงที่เกิดจากริมฝีปาก คือการใช้เสียงจากริมฝีปากออกเสียงขับร้องเพลง
6 ไรฟัน การกำเนิดเสียงที่เกิดขึ้นจากไรฟัน คือการใช้เสียงจากไรฟันออกเสียงตัวพยัญชนะ เช่น ตัว ส ซ ฟ ฝ ออกเสียงขับร้องเพลง
7 จมูก การกำเนิดของเสียงที่เกิดขึ้นจากจมูก คือการใช้เสียงจากจมูกออกเสียงขับร้องเพลงให้เกิดเป็นเสียง ฮือ
คำพยัญชนะที่ออกเสียงขับร้องไม่ชัดเจน
การออกเสียงขับร้องที่ให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป หรือการออกเสียงขับร้อง ซึ่งพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำนั้นได้ตกหล่นหายไป พยัญชนะตัวสุดท้ายของคำที่ออกเสียงไม่ชัดเจน มีดังต่อไปนี้
พยัญชนะตัว ง เช่นคำว่า เอง ห่าง
พยัญชนะตัว น เช่นคำว่า นาน ขาน
พยัญชนะตัว ย เช่นคำว่า หาย ดาย
พยัญชนะตัว ร เช่นคำว่า จร
พยัญชนะตัว ว เช่นคำว่า เปลี่ยว
คำที่ออกเสียงขับร้องยาก
คำที่ออกเสียงขับร้องยาก ส่วนมากจะเป็นคำของการออกเสียงระรัวด้วยการกระดกลิ้น ตัว ร และตัว ล เช่น ใคร่คร่ำครวญ เริงรื่นร่ายรำ เรไรหริ่งหรีด ร่ำเรื่อยรื่นรมย์ คลุมครอบคลื้นเคลง และคำที่ออกเสียงขับร้องยาก เช่นคำว่า ไม่ ให้ ได้ ที่ มาก นี้
การออกเสียงขับร้องคำที่เป็นเสียงสั้น เปลี่ยน ให้เป็นเสียงยาว
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำต่อไปนี้ที่เป็นเสียงสั้นเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาว โดยให้มีเสียงสระโออยู่หน้าเสียง และเป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี เช่นคำว่า คบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาว เป็นคำว่า โค๊บ คือเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เช่นคำว่า พบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาว เป็นคำว่า โพ๊บ คือเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เทคนิคการออกเสียงขับร้อง
เทคนิคการออกเสียงขับร้อง หรือวิธีการใช้ลักษณะของเสียง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ที่ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนในการใช้ลักษณะของเสียง เพื่อที่จะนำมาใช้ในการออกเสียงขับร้องได้อย่างหลากหลายวิธี และจะได้เป็นผู้ที่ชำนาญในการออกเสียงขับร้องได้ดีต่อไปในภายภาคหน้า เทคนิคการออกเสียงขับร้องจะอยู่ในเรื่องของการ ตอบข้อคำถาม
การออกเสียงขับร้องตามตัวโน้ต
ให้ผู้เรียนออกเสียงตามตัวโน้ตทั้ง 7 ตัวคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า โด แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า เร แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า มี แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า ฟา แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า ซอล แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า ลา แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องคำว่า ที แล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงที่ขับร้องออกมาว่ามีลักษณะของลมทำให้เกิดเสียงเป็นเช่นไร
การออกเสียงขับร้องรวมตัวโน้ต
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องรวมตัวโน้ตดังต่อไปนี้
โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
1 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว โด C
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
โด เร มี – มี เร โด – โด เร มี เร มี เร โด
2 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว เร D
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
เร มี ฟา – ฟา มี เร – เร มี ฟา มี ฟา มี เร
3 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว มี E
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
มี ฟา ซอล – ซอล ฟา มี – มี ฟา ซอล ฟา ซอล ฟา มี
4 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว ฟา F
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
ฟา ซอล ลา – ลา ซอล ฟา – ฟา ซอล ลา ซอล ลา ซอล ฟา
5 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว ซอล G
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัวดำ
ซอล ลา ที – ที ลา ซอล – ซอล ลา ที ลา ที ลา ซอล
6 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว ลา A
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
ลา ที โด – โด ที ลา – ลา ที โด ที โด ที ลา
7 เริ่มต้นออกเสียงด้วยตัว ที B
ให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องให้ค่าความยาวของเสียงเป็นโน้ตตัว ดำ
ที โด เร – เร โด ที – ที โด เร โด เร โด ที
การฝึกโสตประสาทหูโดยการฟังเสียงของดนตรี
ให้ผู้เรียนฝึกโสตประสาทหูโดยการฟังเสียง ไวโอลีน หรือเดี่ยวไวโอลีน วิธีฝึกฟังเสียงมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1 ฟังการบรรเลงที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ระดับของอารมณ์
2 ฟังการบรรเลงที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ
3 ฟังการไหลลื่นของเสียงแล้วใช้ความรู้สึกจับเสียงตามทางของเสียงที่เกิดขึ้น หรือทางของเสียงที่น่าจะเป็นไปได้ หรือทางของเสียงที่เป็นไปได้ในทางสูตรสำเร็จ
4 ฟังการแบ่งประโยคของเสียง การหยุดเสียง และฟังประโยคของเสียงในท่อนต่อไป
5 ฟังในประโยคของเสียงว่า เสียงใดเป็นเสียงต่ำที่สุด และเสียงใดเป็นเสียงสูงที่สุด
6 ฟังแล้วแยกระดับของเสียงออกเป็น 3 อ็อคเต็ป
7 ฟังให้เห็นภาพลักษณะของสัญญาณเสียงว่ามีลักษณะใด
8 ฟังน้ำหนักของเสียงที่มีระดับความลึกด้วยการบีบอัดเสียง หรือกดเสียงให้มีความลึกต่างระดับของน้ำหนัก หรือการเน้นเสียง
9 ฟังลักษณะภาพโดยรวมทั้งหมด
การเลือกบทเพลงนำมาขับร้อง
การเลือกบทเพลงที่จะนำมาขับร้อง เพลงที่จะนำมาขับร้องซึ่งเป็นเพลงของศิลปินชายหรือหญิงที่มีชื่อเสียงแล้วซึ่งผู้เรียนได้รู้จักและคุ้นเคยดี ให้ผู้เรียนตรวจสอบเนื้อเสียงของตนเองว่า เนื้อเสียงของผู้เรียนนี้มีลักษณะอยู่ในกลุ่มเสียงของศิลปินคนใดแล้วให้ผู้เรียนเลือกนำบทเพลงของศิลปินคนนั้นนำมาขับร้อง
อธิบายเนื้อหาแนวเพลงดนตรี
เมื่อผู้เรียนเลือกบทเพลงที่จะนำมาขับร้องได้ดีแล้ว ให้ผู้เรียนบอกถึงแนวเพลงดนตรีหรือนำเสนอแนวเพลงว่าเป็นแนวเพลงดนตรีใด แล้วอธิบายเนื้อหาของเพลงว่าเป็นเพลงเกี่ยวกับอะไร เช่นเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักซึ่งผิดหวัง มีตัวแสดงในเรื่องกี่ตัวและมีสิ่งใดมาผูกพันเกี่ยวข้องบ้างแล้วสรุปเนื้อหาของบทเพลง
การปฏิบัติออกเสียงขับร้อง
ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติออกเสียงขับร้องเพลง
1 ออกเสียงขับร้องเพลง ช้า
2 ออกเสียงขับร้องเพลงเร็ว
โดยให้ผู้เรียนออกเสียงขับร้องเพลงช้าเป็นเพลงแรกก่อน
แล้วจึงตามด้วยต่อไปเป็นเพลงเร็ว
การเข้าสู่โหมดของการบันทึกเสียงร้อง
ให้ผู้เรียนเตรียมความพร้อมให้ได้เป็นอย่างดีโดยการฝึกฝนให้เกิดความคุ้นเคย
เกิดความชำนาญในความสามารถของผู้เรียนให้ได้ดีสูงขึ้นเข้าสู่ในระดับหนึ่ง